ระบบประสาท
VIDEO
การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมที่ทำให้สิ่งมีชีวิตได้รับผลกระทบนั้นเรียกว่า สิ่งเร้าหรือตัวกระตุ้น ( Stimulus) การรับรู้ต่อสิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้นเรียกว่า การตอบสนอง ( Response) การตอบสนองต่อสิ่งเร้าพบได้ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด แต่ความสามารถในการตอบสนอง ( Irritability) ของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดแตกต่างกันออกไปตามลักษณะโครงสร้างของร่างกายและวิธีการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ
ในสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ จะมีกลไกการตอบสนองต่อสิ่งเร้าเป็นแบบง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน เพราะยังไม่มีระบบประสาท แต่ในสิ่งมีชีวิตชั้นสูงขึ้นไปจะมีความสามารถในกาตอบสนองต่อสิ่งเร้าด้วยกลไกที่ซับซ้อนขึ้น เพราะมีการพัฒนาของระบบประสาท
( Nervous System) และระบบต่อมไร้ท่อ ( Endocrine gland) มาทำงานร่วมกันเป็นระบบประสานงาน ( Co-ordinating System) คอยควบคุมให้การทำงานของอวัยวะภายในและส่วนต่าง
ๆ ของร่างกายให้ทำงานได้ตามปรกติ
การรับรู้และการตอบสนองต่อสิ่งเร้าของโพรโทซัวและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังบางชนิด
โพรโทซัวซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำแม้ว่ายังไม่มีระบบประสาทแต่ก็สามารถตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่มากระตุ้นได้ เช่น
พารามีเซียมสามารถตอบสนองต่อแสงสว่าง อุณหภูมิ สารเคมีรวมทั้งวัตถุที่มาสัมผัสได้โดยการเคลื่อนที่เข้าหาหรือหนีจากสิ่งเร้านั้นได้ ทั้งนี้เพราะมีโครงสร้างที่ทำหน้าที่คล้ายกับระบบประสาทของสัตว์ที่เรียกว่า เส้นใยประสานงาน (Co-ordinating Fiber หรือ
Neuromotor
Fiber) โครงสร้างนี้มีลักษณะเป็นเส้นใยเล็ก
ๆ สานกันเป็นร่างแหอยู่ใต้เยื่อหุ้มเซลล์ ร่างแหเหล่านี้จะทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของซิเลียให้ปะสานกันอย่างมีระเบียบในขณะเคลื่อนที่
การตอบสนองต่อสิ่งเร้าของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังบางชนิด
สัตว์หลายชนิดในกลุ่มไนดาเรีย ได้แก่
พวกไฮดรา แมงกะพรุน จัดเป็นสัตว์พวกแรกที่มีระบบประสาท โดยมีเซลล์ประสาทที่มีส่วนของไซโทพลาซึมของแต่ละเซลล์มีแขนงหลายแขนงยื่นออกไปประสานกันทั้งร่างกายเรียกว่า ร่างแหประสาท (Nerve nets) ถ้ามีสิ่งเร้ามากระตุ้นที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของลำตัวจะทำให้มีกระแสประสาทเกิดขึ้นและส่งไปตามร่างแหประสาทได้ทั่วลำตัว หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือสามารถนำความรู้สึกไปได้ทุกทิศทาง ลักษณะเช่นนี้จะนำกระแสประสาทได้ช้าและมีทิศทางไม่แน่นอน
ในพวกหนอตัวแบน ( Phylum Platy helminthes) เช่น
พลานาเรีย เริ่มมีการรวมตัวกันของเซลล์ประสาทเป็นกลุ่มที่เรียกว่า ปมประสาท (Ganglion)
ในพวกหนอตัวกลม ( Phylum Nematode) มีระบบประสาทที่พัฒนามากขึ้นกว่าหนอนตัวแบน
หนอนตัวกลมมีวงแหวนประสานรอบคอหอย และมีเส้นประสาทแยกไปทางท้ายตัว 6 เส้น คือ เส้นประสาทด้านหลัง ( Dorsal Nerve Cord) 1 เส้น เส้นประสาทด้านท้อง ( Ventral Nerve Cord) 1 เส้น
ที่เหลืออีก 4 เส้นอยู่ทางด้านข้าง
ในพวกไส้เดือนดิน ( Phylum Annelid) ระบบประสาทพัฒนามากขึ้นกว่าหนอนตัวกลม ไส้เดือนดินมีปมประสาทอยู่ที่ด้านหลังตรงรอยต่ออุ้งปากกับคอหอยประมาณปล้องที่
3 เส้นประสาทสมองจะปกคลุมอยู่สองข้างของคอหอย
ระบบประสาทของแมลง ประกอบด้วยปมประสาทที่บริเวณหัว และมีเส้นประสาทขนาดใหญ่อยู่ทางด้านท้องยาวตลอดลำตัว
1 คู่ สมองของแมลงอยู่เหนือหลอดอาหาร
แบ่งออกเป็น 3 ส่วน
คือ
1) Protocerebrum เป็นสมองส่วนแรก ทำหน้าที่ควบคุมเกี่ยวกับการทำงานของตาประกอบและตาเดี่ยว
2) Deutocerebrum เป็นส่วนของสมองที่อยู่ต่อจากส่วนแรก
ทำหน้าที่ควบคุมเกี่ยวกับการทำงานของหนวด
3) Tritocerebrum เป็นสมองส่วนสุดท้ายที่ทำหน้าที่ควบคุมเกี่ยวกับการทำงานของทางเดินอาหาร
สำหรับเส้นประสาทด้านท้องของแมลงนั้น
แต่ละปล้องจะมีปมประสาทอยู่ 1 ปม และจากปมประสาทในแต่ละปล้องจะมีใยประสาทเล็ก ๆ ( Nerve Fiber) ส่งไปควบคุมการทำงานของอวัยวะต่าง
ๆ ของแมลง เช่น กล้ามเนื้อที่ท้อง และการทำงานของรยางค์ที่ส่วนท้อง
การรับรู้และการตอบสนองต่อสิ่งเร้าของสัตว์มีกระดูกสันหลัง
สำหรับคนและสัตว์มีกระดูกสันหลังมีสมอง
( Brain) และไขสันหลัง (Spinal Cord) เป็นโครงสร้างที่สำคัญของระบบประสาท โครงสร้างดังกล่าวนี้มีหน่วยย่อยที่สำคัญคือเซลล์ประสาท
( Nerve Cord หรือ
Neuron) สิ่งมีชีวิตที่มีปมประสาทและเซลล์ประสาทจำนวนมากถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีระบบประสาทพัฒนาไปมาก
ภาพ 7.1 แสดงตำแหน่งของสมอง
ไขสันหลัง และเส้นประสาทของคน
7.1 เซลล์ประสาท
เซลล์ประสาท ( Neuron หรือ
Nerve Cell) ในระบบประสาทของคนประกอบด้วยเซลล์ประสาทประมาณ
10,000 ล้านถึง
100,000 ล้านเซลล์
โดยเซลล์ประสาทส่วนใหญ่จะอยู่ในสมอง จากการศึกษาพบว่าในช่วงที่อยู่ในครรภ์
เซลล์ประสาจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาก คือ ประมาณ
250,000 เซลล์ต่อนาที
เซลล์ประสาทของคนมีขนาดและรูปร่างแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับหน้าที่และตำแหน่งที่อยู่ของเซลล์ประสาทนั้น
1) ส่วนประกอบของเซลล์ประสาท
ส่วนประกอบของเซลล์ประสาทแต่ละเซลล์จะประกอบด้วยส่วนสำคัญ
2 ส่วน คือ
1. ตัวเซลล์ ( Cell
Body หรือ
Perikatyon) มีรูปร่างแตกต่างตามชนิดของเซลล์ประสาท ภายในมีนิวเคลียสและไซโทพลาซึมหรือนิวโรพลาซึม
ซึ่งมีออร์แกแนลล์ชนิดต่าง ๆ เช่นเดียวกับเซลล์ทั่วไป
ภายในไซโทพลาซึมของเซลล์ประสาทมีออร์กอแนลล์ที่สำคัญ คือ
1) นิสส์ บอดี ( Nissl
Body) เป็นออร์แกแนลล์ที่พบได้ในตัวเซลล์ประสาทที่เดนไดรต์
แต่จะไม่พบในแอกซอน ทำหน้าที่เกี่ยวกับการสังเคราะห์โปรตีนสำหรับนำไปสร้างเป็นเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการนำกระแสประสาท
2) ไมโทคอนเดรีย ( Mitochondria) ออร์แกแนลล์นี้พบได้ทั้งในตัวเซลล์
เดนไดรต์และแอกซอน พบมากบริเวณปลายประสาทโดยเฉพาะปลายประสาทนำคำสั่งไมโทคอนเดรียทำหน้าที่สร้างพลังงานให้แก่เซลล์
3) กอลจิ บอดี ( Golgi
Body) มีลักษณะเป็นเส้นบาง ๆ เรียงขนานกันเป็นชั้น ๆ
มีหนาที่เก็บสารโปรตีนที่นิสส์ บอดี สร้างขึ้นและเปลี่ยนแปลงโปรตีนบางส่วนเป็นไลโซโซม
ภาพ 7.2
แสดงลักษณะของเซลล์ประสาท
2. ใยประสาท ( Nerve
Fiber) เป็นส่วนที่แยกออกมาจากตัวเซลล์ มีลักษณะเป็นแขนงเล็ก ๆ จำนวนแขนงและความยาวของแขนงแตกต่างกันไปตามหน้าที่และตำแหน่งที่อยู่ ใยประสาทจำแนกออกเป็น
2 ประเภท
คือ
1) เดนไดรต์ ( Dendrite)
เป็นส่วนของเซลล์ที่ยื่นออกไปเป็นแขนงสั้น ๆ
แล้วแตกกิ่งก้านออกไปมากมาย เดนไดรต์ทำหน้าที่รับกระแสประสาทจากหน่วยรับความรู้สึก ( Receptor) และรับกระแสประสาทจากเซลล์ประสาทเซลล์อื่นเข้าสู่ตัวเซลล์
2) แอกซอน ( Axon)
เป็นส่วนของไซโทพลาซึมของเซลล์ประสาทที่ยื่นออกจากตัวเซลล์ ส่วนปลายของแอกซอนจะแตกเป็นแขนงเรียกว่า
Telodendron สำหรับใยประสาทที่มีความยาวมาก ๆ
ทั้งเดนไดรต์และแอกซอนจะมีปลอก ( Sheath) หุ้ม ดังนั้นถ้าพิจารณาลักษณะเซลล์ประสาทจากการมีหรือไม่มีปลอกหุ้มจะสามารถแบ่งชนิดของเซลล์ประสาทออกเป็น 2 พวก
คือ
- ใยประสาทชนิดที่มีเยื่อไมอีลินหุ้ม ( Myelinated Nerve Fiber) เยื่อไมอีลินเกิดจากเซลล์ชวานน์ ( Schwann Cell) ลักษณะของใยประสาทที่มีเยื่อไมอิลินหุ้มจะพบมีรอยคอดเป็นระยะ ตรงรอยคอดไม่มีเยื่อไมอิลินหุ้มเรียกว่า
โนด ออฟ แรนเวียร์ ( Node
of Ranyier) ใยประสาทที่มีเยื่อไมอีลินหุ้มจะนำกระแสประสาทได้เร็วกว่า มาก คือ สามารถส่งกระแสประสาทได้ในอัตราเร็วถึง
120 เมตร/วินาที ในขณะที่ใยประสาทที่ไม่มีเยื่อไมอีลินหุ้มจะส่งกระแสประสาทได้ในอัตราเร็วเพียง
12 เมตร/วินาที
เท่านั้น
- ใยประสามที่ไม่มีเยื่อไมอีลินหุ้ม ( Monopolar Neuron) เป็นใยประสาทที่มีเซลล์ชวานน์หุ้มเพียงรอบเดียว
ไม่มีการม้วนตัวหลาย ๆ รอย จึงไม่เกิดเป็นเยื่อไมอีลินหุ้มแอกซอนเหมือนแบบแรก เรียกใยประสาทที่มีลักษณะดังกล่าวว่าใยประสาทที่ไม่มีเยื่อไมอีลินหุ้ม
2) ชนิดของเซลล์ประสาท
1. จำแนกตามรูปร่าง สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1) เซลล์ประสาทชั้นเดียว (Monopolar Neuron หรือ Unipolar Neuron) หมายถึง เซลล์ประสาทที่มีใยประสาทออกจากตัวเซลล์เพียงแขนงเดียว
แล้วแตกเป็นแขนงย่อยอีก 2 แขนง
คือเดนไดรต์กับแอกซอน เซลล์ประสาทชนิดนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเซลล์ประสาทรับความรู้สึกที่มีตัวเซลล์อยู่ในปมประสาท เช่น
ที่ปมประสาทรากบนของไขสันหลัง ( Dorsal Root Ganglion)
2) เซลล์ประสาทสองขั้ว หมายถึง เซลล์ประสาทที่มีแขนแตกออกจากตัวเซลล์
2 แขนง
โดยแขนงหนึ่งทำหน้าที่เป็นเดนไดรต์ ส่วนอีกแขนงหนึ่งทำหน้าที่เป็นแอกซอน
ทั้งเดนไดรต์และแอกซอนจะมีความยาวใกล้เคียงกัน เซลล์ประสาทประเภทนี้ส่วนใหญ่ทำหน้าที่รับความรู้สึก
เช่น เซลล์ประสาทรับความรู้สึกที่พบที่เรตินาของนัยน์ตา
เซลล์ประสาทรับกลิ่นที่จมูก และเซลล์ประสาทที่รับความรู้สึกเกี่ยวกับความสั่นสะเทือนภายในหู
เป็นต้น
3) เซลล์ประสาทหลายชั้น (Multipolar Neuron) เป็นเซลล์ประสาทที่มีแขนงยื่นออกจากตัวเซลล์หลายแขนงโดยมีเดนไดรต์หลาย
ๆ แขนง แต่มีแอกซอนเพียงแขนงเดียว
เซลล์ประสาทชนิดนี้จะมีเดนไดรต์สั้น แอกซอนยาว ในเซลล์ประสาทของคนจะพบเซลล์ประสาทนี้มากที่สุด เซลล์ประสาทหลายขั้วทำหน้าที่เป็นเซลล์ประสาทประสานงานและเซลล์ประสาทนำคำสั่ง พบมากที่สมองและไขสันหลัง
2. จำแนกหน้าที่การทำงาน สามารถจำแนกออกได้เป็น 3 ชนิด คือ
1) เซลล์ประสาทรับความรู้สึก (Sensory Neuron หรือ Afferent Neuron) เป็นเซลล์ประสาทที่ทำหน้าที่รับความรู้สึกจากส่วนต่าง
ๆ ของร่างกายแล้วนำกระแสประสาทไปยังระบบประสาทส่วนกลาง เซลล์ประสาทรับความรู้สึกอาจเป็นเซลล์ประสาทขั้วเดียว
เช่น ที่พบในปมรากบนของไขสันหลัง
หรืออาจเป็นเซลล์ประสาทชนิด 2 ขั้วก็ได้ เช่น เซลล์ประสาทรับกลิ่นที่จมูก เซลล์ประสาทรับเสียงที่หู และเซลล์ประสาทที่พบในเรตินาของนัยน์ตา
เป็นต้น
2) เซลล์ประสาทนำคำสั่ง ( Motor Neuron หรือ Efferent Neuron) เป็นเซลล์ประสาทที่ทำหน้าที่นำกระแสประสาทจากสมองหรือไขสันหลังไปยังหน่วยปฏิบัติงานซึ่งอาจเป็นกล้ามเนื้อหรือต่อมต่าง ๆ
ในร่างกาย โดยทั่วไปเซลล์ประสาทนำคำสั่งจะเป็นเซลล์ประสาทประเภทหลายขั้ว
3) เซลล์ประสาทประสานงาน (Associative Neuron ) เป็นเซลล์ประสาทที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางส่งกระแสประสาทจากเซลล์ประสาทเซลล์หนึ่งไปยังเซลล์ประสาทอีกเซลล์หนึ่งืพบในระบบประสาทส่วนกลางและเซลล์ประสาทประเภทหลายขั้ว
3) การทำงานของเซลล์ประสาท
1. การเคลื่อนที่ของกระแสประสาทในเซลล์ประสาท
การทำงานของเซลล์ประสาทเป็นผลมาจากการกระตุ้นให้มีกระแสประสาทเกิดขึ้นแล้วเคลื่อนที่หรือส่งไปตามเซลล์ประสาทที่อยู่ติดกันเป็นวงจร กระแสประสาทคุณสมบัติเหมือนกะแสไฟฟ้าที่สามารถวัดแรงเคลื่อนออกมาได้เป็นหน่วยมิลลิโวลท์ (mV) ซึ่งการกระตุ้นให้เกิดกระแสประสาทและการเคลื่อนที่ของกระแสประสาทนั้น เป็นผลมาจากปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลงทางเคมี ( Electrochemical Reaction) ของเซลล์ประสาทแต่ละเซลล์
ซึ่งแบ่งออกไดเป็น 3 ชั้น
1) ก่อนกระตุ้น เซลล์ประสาทก่อนกระตุ้นอยู่ในสภาพปรกติ คือ ยังไม่มีกระแสไหลผ่าน หรือเรียกว่าเป็นการเห็นระยะพัก
( Resting Stage)
2) เมื่อถูกกระตุ้น เซลล์ประสาทที่ถูกกระตุ้นด้วยความแรงของสิ่งเร้าที่ทำให้เกิดกระแสประสาทได้เรียกว่า Threshold Stimulation และเมื่อเกิดกระแสประสาทขึ้นแล้วจะเกิดโดยตลอดตลอดในอัตราที่สม่ำเสมอ จนถึงปลายแอกซอนถึงแม้จะมีแรงกระตุ้นมากขึ้นก็ตามเยื่อหุ้มประสาทบริเวณที่ถูกระตุ้นจะเปลี่ยนแปลงสมบัติชั่วคราว โดยภายในเซลล์ประสาทจะเกิดการเปลี่ยนแปลงประจุไฟฟ้าเป็นบวก และผิวภายนอกเซลล์จะเปลี่ยนเป็นประจุลบ
เรียกว่าการเกิด ดีโพราไรเซชัน การเปลี่ยนแปลงประจุไฟฟ้าที่ผิวเซลล์นี้จะกินเวลาทั้งหมดเพียง
2/100 วินาทีเท่านั้น และบริเวณนี้จะกลายเป็นจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่กระตุ้นให้ใยประสาทบริเวณถัดไปเกิดดีโพราไรเซชันต่อไป ซึ่งจะดำเนินการต่อเนื่องกันไปตลอดเซลล์
3) การกลับสู่สภาพปรกติ เมื่อมีการนำกระแสประสาทผ่านบริเวณใดไปแล้ว ไฟฟ้าที่ผิวนอกเซลล์และผิวด้านในเซลล์กลับสู่สภาพปรกติเรียกว่า เกิดรีโพราไรเซชัน (Repolarization)
2. การถ่ายทอดกระแสประสาทจากเซลล์ประสาทหนึ่งไปยังเซลล์ประสาทอีกเซลล์หนึ่ง
การนำกระแสประสาทจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งของร่างกาย โดยการผ่านกระแสประสาทออกทางแอกซอนของเซลล์ประสาทไปยังเดนไดรต์ของเซลล์ประสาทหนึ่งอีกเซลล์หนึ่งผ่านช่องแคบ ๆ
ที่เรียกว่า ไซแบปส์ (Synapse) การถ่ายทอดกระแสประสาทผ่านไซแนปส์แบ่งออกได้
2 แบบ
คือ
1) ไซแนปส์ไฟฟ้า ( Electrical Synapse) เป็นการถ่ายทอดกระแสประสาทในรูปของกระแสไฟฟ้าโดยตรงจากเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่งได้เลย เพราะช่วงไซแนปส์แคบ
พบในสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังชั้นต่ำ
2) ไซแนปส์เคมี ( Chemical Synapse) เป็นการถ่ายทอดกระแสประสาทในรูปของสารเคมี เกิดขึ้นกับเซลล์ประสาทที่มีช่วงไซแนปส์กว้าง
(ประมาณ 200-500
อังสตรอม) สารเคมีทำหน้าที่นำกระแสประสาทเรียกว่า สารสื่อประสาท ( Neurotransmitter) ซึ่งถูกสร้างขึ้นที่ถุงเล็ก
ๆ ในไซโทพลาซึมตรงบริเวณปลายแอกซอน เราเรียกถุงที่บรรจุสารสื่อประสาทนี้ว่า Synaptic Vesicle
7.2 ศูนย์ควบคุมระบบประสาท
1) ระบบประสาทส่วนกลาง ( Central Nervous System หรือ
CNS)
ศูนย์ควบคุมของระบบประสาทซึ่งประกอบด้วยสมองไขสันหลังรวมเรียกว่า ระบบประสาทส่วนกลาง
สมองและไขสันหลังเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญมาก ฉะนั้นจึงมีสิ่งห่อหุ้มเพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับอวัยวะเหล่านี้ ส่วนที่ห่อหุ้มอยู่นอกสุดคือ
กะโหลกศีรษะและกระดูกสันหลัง ถัดเข้าไปคือเยื่อหุ้มสมองและเยื่อหุ้มไขสันหลังมีชื่อเรียกว่า Meninges เป็นแผ่นเยื่อแผ่นเดียวกันที่หุ้มอยู่โดยรอบสมองและไขสันหลังช่วยป้องกันอันตรายร่วมกับกะโหลกศีรษะ เยื่อหุ้มนี้มี
3 ชั้น
คือ
(1) Dura Mater เป็นเยื่อหุ้มชั้นนอกสุดมีลักษณะเหนียวและหนา
(2) Arachnoid Membrane เป็นเยื่อหุ้มชั้นกลางมีลักษณะคล้ายใยแมงมุม ระหว่างเยื่อชั้นนอกกับเยื่อชั้นในมีช่องว่างเรียกว่า
Subdura Space
(3) Pia Mater เป็นเยื่อหุ้มชั้นในสุด
มีลักษณะเป็นเยื่อบาง ๆ หุ้มติดกับเนื้อสมองและไขสันหลังระหว่างเยื่อชั้นกลางกับเยื่อชั้นในมีช่องว่างเรียกว่า Subarachniod เป็นที่อยู่ของน้ำเลี้ยงสมองและไขสันหลัง
น้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลัง (Cerebro-Spinal Fluid) ในคนปรกติจะมีอยู่ประมาณ 100-200 ลูกบาศก์เซนติเมตร จะอยู่ตามช่องต่าง
ๆ ของสมองและไขสันหลัง และมีการไหลเวียนตลอดเวลาทั่วระบบประสาทส่วนกลาง
ภาพ
7.3 แสดงเยื่อหุ้มสมอง
หน้าที่ของน้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลัง
มีดังนี้
1. ป้องกันการกระทบกระเทือนให้แก่ระบบประสาทส่วนกลางโดยเฉพาะสมองที่หนักประมาณ
1.4 กิโลกรัม
หรือ 3 ปอนด์
2. นำอาหารและออกซิเจนมาเลี้ยงสมอง ในขณะเดียวกันก็นำของเสียต่าง
ๆ ออกไปจากระบบประสาทส่วนกลางด้วย จากการศึกษาพบว่า ถ้าสมองขาดออกซิเจนเพียง
3-5 นาที
จะทำให้เซลล์ประสาทของสมองตายได้
3. ช่วยกระจายฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง
4. ช่วยทำลายสิ่งแปลกปลอมทีมาทำอันตรายต่อระบบประสาทส่วนกลาง
5. ช่วยควบคุมสมองส่วนเมดัลลา ออบลองกาตา
ให้ทำงานเป็นปรกติ
สมอง ( Brain) เป็นส่วนที่ใหญ่และเจริญที่สุดของระบบประสาทส่วนกลาง เป็นส่วนของท่อประสาทเดิมที่ขยายพองออกจนโตเต็มกะโหลกศีรษะ ผนังของท่อมีเซลล์ประสาทและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
( Neuroglea) อยู่มากมาย เนื้อสมองแบ่งออกเป็น
2 ชั้น
คือ
1) Gray Matter เป็นเนื้อสมองชั้นนอก
เป็นที่รวมของเซลล์ประสาทที่ไม่มีเยื่อไมอีลินหุ้ม มองเห็นโพรโทพลาซึมได้ชัดเป็นสีเทา
2) White Matter เป็นเนื้อสมองชั้นใน เป็นที่รวมของใยประสาทจำนวนมากโดยมีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันเชื่อมโยงยึดไว้อย่างแน่นหนาไม่ให้เคลื่อนที่ ใยประสาทเหล่านี้มีเยื่อไมอีลินหุ้มทำให้มองเห็นเป็นสีขาว เนื้อสมองชั้นนี้ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของกระแสประสาท
สมองของสัตว์ชั้นสูง เป็นศูนย์รวมของเส้นประสาทเพื่อทำงานเกี่ยวกับความคิด
ความจำ ความฉลาด เชาว์ปัญญา รวมทั้งทำหน้าที่เป็นสถานีกลางเกี่ยวกับระบบประสาททั้งหมดอีกด้วย ในสัตว์ที่มีวิวัฒนาการของระบบประสาทสูงขึ้นจะมีสมองที่มีรูปร่างสลับซับซ้อนและมีคลื่นหยัก (Convulution) เพิ่มมากขึ้นด้วย
คลื่นหยักเหล่านี้จะช่วยเพิ่มพื้นที่ของสมอง สัตว์ที่ฉลาดมากจะมีเคลื่อนหยักของสมองมากด้วย สัตว์ที่มีสมองใหญ่เมื่อเปรียบเทียบระหว่างน้ำหนักตัวและน้ำหนักสมอง สัตว์นั้นจะมีความฉลาดมากกว่าสัตว์ที่มีสมองเล็กกว่าเมื่อเปรียบเทียบอย่างเดียวกันดังตาราง
ตาราง แสดงการเปรียบเทียบน้ำหนักสมองและน้ำหนักตัวของสัตว์บางชนิด
ชนิดของสัตว์
น้ำหนักตัว
( กิโลกรัม)
น้ำหนักสมอง
( กิโลกรัม)
อัตราส่วน
น้ำหนักสมอง/น้ำหนักตัว
ช้าง
5,000
5
1/1,000
วาฬ
60,000
6
1/10,000
คน
75
1.5
1/50
จากตารางจะเห็นว่า แม้วาฬจะมีน้ำหนักตัวถึง
60,000 กิโลกรัม
แต่มีน้ำหนักสมองเพียง 6 กิโลกรัม ในขณะที่คนมีน้ำหนักเพียง
75 กิโลกรัม
แต่มีน้ำหนักสมองถึง 1.5 กิโลกรัม
ดังนั้น เมื่อเปรียบเทียบอัตราส่วนระหว่างน้ำหนักสมองต่อน้ำหนักตัวของคน
วาฬ และช้าง จะได้
1/50, 1/1,000 และ 1/10,000
ตามลำดับ
สมองของสัตว์มีกระดูกสันหลังแบ่งออกเป็นสมองส่วนหน้า ( Forebrain) สมองส่วนกลาง ( Midbrain) และสมองส่วนท้าย ( Hindbrain)
ปลาจะมีสมองส่วนกลางขนาดใหญ่ ส่วนสัตว์อื่น
ๆ ตั้งแต่สัตว์เลื้อยคลานเป็นต้นไปจะมีสมองส่วนหน้าเจริญดี และจะขยายใหญ่ขึ้นตามลำดับ
แต่สมองส่วนกลางกลับลดขนาดลง
ส่วนต่าง ๆ ของสมองคน เราอาจแบ่งสมองคนออกเป็น
3 ส่วน
ดังนี้
1. สมองส่วนหน้า ( Forebrain หรือ Prosencephalon) ในสัตว์มีกระดูกสันหลังชั้นต่ำหน้าที่ของสมองส่วนนี้คือ แปลความรู้สึกในการดมกลิ่น
แต่ในคนสมองส่วนนี้ได้พัฒนาขึ้นมากสำหรับทำหน้าที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแปลความรู้สึกที่มาจากอวัยวะต่าง
ๆ ทั่วร่างกาย เก็บข้อมูลในการจดจำนึกคิดและสติปัญญา
การสั่งการควบคุมการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ภายใต้อำนาจจิตโดยมีการแบ่งการทำหน้าที่ออกเป็นส่วนต่าง
ๆ ดังนี้
1.1 ออลแฟกตอรีบัลบ์ ( Olfactory Bulb) เป็นส่วนที่อยู่หน้าสุดของสมอง
ทำหน้าที่เกี่ยวกับการดมกลิ่น ในสัตว์มีกระดูกสันหลังชั้นต่ำ เช่น ปลา สมองส่วนนี้จะเจริญดีมาก เพราะการดมกลิ่นเป็นสิ่งจำเป็นในการหาอาหาร แต่ในคนและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมชั้นสูง
สมองส่วนนี้จะมีขนาดเล็กมาก ทำให้การรับรู้กลิ่นมีประสิทธิภาพต่ำกว่าสัตว์มีกระดูกสันหลังชั้นต่ำ
1.2 เซรีบรัม ( Cerebrum) เป็นสมองส่วนที่มีขนาดใหญ่มากขึ้นตามการวิวัฒนาการจากสัตว์มีกระดูกสันหลังชั้นต่ำมาเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังชั้นสูง สมองส่วนนี้ของคนมีขนาดใหญ่มาก ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้
เช่น ความจำ ( Memory)
ความเฉลียวฉลาด ( Intelligence) การตัดสินใจ ( Judgment) การคิดแก้ไขปัญหา (Conscious Thought) และการใช้มโนภาพ ( Imagination) นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางควบคุมการทำงานของส่วนต่าง
ๆ ของร่างกาย เช่น การทำงานของกล้ามเนื้อ
การมองเห็น การได้ยิน การดมกลิ่น การรับสัมผัส การพูดจาและการรับรู้ภาษาได้ด้วย
สมองส่วนเซรีบรัมของคนมีคลื่นหยักของสมองจำนวนมาก ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่มีคลื่นหยักของสมองมากจะฉลาดมาก
1.3 ทาลามัส ( Thalamus) เป็นสมองส่วนที่อยู่ถัดจากเซรีบรัม
มีลักษณะเป็นรูปกลมรี 2 ลูก วางอยู่เหนือสมองส่วนกลาง
ทำหน้าที่เป็นสถานีถ่ายทอด ( Relay Station) ของกระแสรับความรู้สึกที่ส่งเข้ามาแล้วแยกกระแสประสาทรับความรู้สึกนี้ส่งออกไปสังสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระแสประสาทนั้น ๆ
และสามารถบอกความรู้สึกได้อย่างหยาบ ๆ โดยเฉพาะความรู้สึกเจ็บปวด แต่ไม่สามารถบอกตำแหน่งของความเจ็บปวดนั้นได้
1.4 ไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) เป็นสมองส่วนหน้าที่อยู่ใต้ทาลามัส ภายในเนื้อสมองมีกลุ่มของตัวเซลล์ประสาทน้อย
ทำหน้าที่ควบคุมกระบวนการสำคัญต่าง ๆ ในการดำรงชีวิต เช่น ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ถ้าต้องการระบายความร้อนออกจากร่างกายก็จะไปกระตุ้นหลอดเลือดที่ผิวหนังให้ขยายตัวพร้อมกับเพิ่มการทำงานของต่อมเหงื่อ ถ้าต้องการเก็บรักษาความร้อนของร่างกายก็จะไปกระตุ้นให้หลอดเลือดที่ผิวหนังหดตัวพร้อมกับเพิ่มอัตราเมตาบอลิซึม นอกจากนี้ยังควบคุมเกี่ยวกับสมดุลน้ำในร่างกาย
การหลั่งฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง การเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต การตื่นการหลับ
ความรู้สึกอยากรับประทานอาหาร เซลล์ประสาทในไฮโปทาลามัสส่วนมากเป็น Neurosecretory Cell ซึ่งทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนมาควบคุมการทำงานของต่อมใต้สมอง
เช่น ฮอร์โมน Prolectin
และ Releasing
Homone
2. สมองส่วนกลาง ( Midbrain หรือ Mesencephalon) เป็นส่วนที่อยู่ถัดจากสมองส่วนหน้า พวกสัตว์มีกระดูกสันหลังชั้นต่ำ
เช่น ปลา สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก สัตว์เลื้อยคลานจะมีสมองส่วนกลางขนาดใหญ่และมีลักษณะเป็นพูกลม ๆ
ยื่นออกมาเรียกว่า ออปติกโลป ( Optic Lope) ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางถ่ายทอดความรู้สึกเกี่ยวกับการมองเห็นและการได้ยิน สำหรับในสัตว์มีกระดูกสันหลังชั้นสูง สมองส่วนนี้จะลดขนาดลงและถูกสมองส่วนอื่นปิดทับเอาไว้
เช่น ในคนและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมอื่น
ๆ จะมีออปติกโลปอยู่ 4 พูเล็ก
ๆ เรียกว่า
Corpora Quadrigemina
3. สมองส่วนท้าย ( Hindbrain) เป็นส่วนท้ายสุดของสมองถัดจากสมองส่วนกลางและเป็นส่วนที่ติดต่อกับไขสันหลัง สมองส่วนท้ายของคนแบ่งออกเป็น
3 ส่วน
คือ
3.1 เซรีเบลลัม (Cerebellum) อยู่หลังเซรีบรัมโดยมีร่องตามขวาง ( Transverse Fissure) กั้นอยู่ระหว่างเซรีบรัมกับเซรีเบลลัม พื้นผิวด้านนอกของเซรีเบลลัมมีลักษณะเป็นคลื่นหยักเช่นกันแต่น้อยกว่าเซรีบรัม ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ
โดยทำงานประสานกับสมองส่วนเซรีบรัม ควบคุมท่าทาง ควบคุมการทรงตัว สัตว์ที่เคลื่อนไหวได้ 3 มิติ
เช่น ปลา นก ซึ่งจะมีสมองส่วนนี้เจริญดีมาก ทำให้สัตว์ดังกล่าวมีความคล่องตัวมากในการเคลื่อนไหวในระดับต่าง
ๆ สำหรับในคนถ้าสมองส่วนนี้พิการจะทำให้เสียการทรงตัว
มือสั่น ( Tremores)
ระบบการทำงานของกล้ามเนื้อลายไม่ประสานกัน
3.2 พอนส์ ( Pons) อยู่ด้านหลังเซรีเบลลัม
เป็นที่อยู่ของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 5, 6, 7 และ 8 เซลล์ประสาทของพอนส์จะทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้สึกจากเซรีบรัมไปยังเซรีเบลลัม เพื่อควบคุมอวัยวะบางอย่างที่อยู่บริเวณศีรษะ
เช่น การหลับตา การยิ้ม การยักคิ้ว การหลั่งน้ำลาย การเคี้ยวอาหาร นอกจากนี้ ยังเป็นที่อยู่ของเซลล์ประสาทประสานงานเกี่ยวกับการได้ยิน
การรับรู้ และการทรงตัวจากหูอีกด้วย
3.3 เมดัลลา ออบลองกาตา (Medulla Oblongata) เป็นส่วนท้ายสุดของสมองอยู่ติดกับไขสันหลัง และมีรูปร่างคล้ายกับไขสันหลังมาก
เป็นที่อยู่ของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 9, 10, 11 และ 12 ทำหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมการทำงานของอวัยวะสำคัญหลายอย่าง
เช่น การทำงานของหัวใจ
การหายใจ การไหลเวียนของเลือด และทำหน้าที่รับกระแสประสาทจากไขสันหลังไปยังสมองส่วนซีรีบรัม สมองส่วนนี้นับว่ามีความสำคัญมากที่สุด ถ้าเกิดอันตรายกับสมองส่วนนี้ทำให้ถึงแก่ความตายทันที
ไขสันหลัง ( Spinal Cord) เป็นส่วนหนึ่งของระบบประสาทส่วนกลาง
อยู่ต่อจากสมองส่วนเมดัลลา ออบลองกาตา
ไขสันหลังมีลักษณะเป็นรูปแท่งทรงกระบอกและมีเยื่อหุ้มไขสันหลังปกคลุมอยู่ ไขสันหลังอยู่ในกระดูกสันหลังตั้งแต่กระดูกสันหลังข้อแรกมาสิ้นสุดที่กระดูกบั้นเอวข้อที่ 1 หรือ
ขอบบนของกระดูกบั้นเอวข้อที่ 2 แต่เยื่อหุ้มไขสันหลังจะหุ้มลงไปจนถึงกระดูกสันหลังข้อสุดท้าย
ดังนั้น จากกระดูกบั้นเอวข้อที่
1 ลงมาจะไม่มีเนื้อไขสันหลังอยู่เลยแต่มีเส้นประสาทที่ออกมาจากไขสันหลัง ในการเจาะเอาน้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลังสามตรวจ
หรือฉีดยาชาสำหรับการผ่าตัด แพทย์จะฉีดเข้าไปในบริเวณต่ำกว่ากระดูกบั้นเอวข้อที่ 2 ลงไป ส่วนใหญ่จะแทงเข็มลงไประหว่างกระดูกบั้นเอวข้อที่
4 ต่อกับข้อที่
5 เพราะเป็นตำแหน่งที่ไม่เป็นอันตรายต่อไขสันหลัง
2) ระบบประสาทรอบนอก
ระบบประสาทรอบนอกทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อลาย ที่ยึดติดกับกระดูกให้เคลื่อนไหวหรือทรงตัวได้ตามต้องการ ประกอบด้วยเส้นประสาทสมองและเส้นประสาทไขสันหลัง
เส้นประสาทสมอง ( Cranial Nerve หรือ
CN) เป็นเส้นประสาทที่ออกมาจากสองโดยแยกออกเป็นคู่
ๆ ในสัตว์พวกปลาและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกมีเส้นประสาทสมองอยู่
10 คู่ ส่วนสัตว์เลื้อยคลาน
สัตว์ปีก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมจะมีเส้นประสาทสมอง 12 คู่ เส้นประสาทสมองของคน
มีทั้งเส้นประสาทรับความรู้สึก ( Sensory Nerve) เส้นประสาทนำคำสั่ง ( Motor Nerve) และเส้นประสาทผสม ( Mixed Nerve)
เส้นประสาทไขสันหลัง ( Spinal Nerve หรือ
SN) เป็นเส้นประสาทแบบผสมทั้งหมด
แยกออกจากไขสันหลังเป็นคู่ ๆ มีทั้งหมด 31 คู่
โดยมีส่วนโคนตอนที่ติดกับไขสันหลังแยกออกเป็น 2 ราก คือ รากบน (Dorsal Root) มีเซลล์ประสาทแบบขั้วเดียวซึ่งมีใยประสามแยกออกจากตัวเซลล์
2 แขนง โดยแขนงหนึ่งไปติดต่อกับอวัยวะรับความรู้สึก อีกแขนงหนึ่งจะเข้าสู่เนื้อสีเทาของไขสันหลัง
ส่วนรากล่าง ( Ventral
Root) เป็นที่อยู่ของเซลล์ประสาทนำคำสั่งเพื่อนำกระแสประสาทไปยังหน่วยปฏิบัติงาน
7.3 การทำงานของระบบประสาท
ระบบประสาทของสัตว์มีกระดูกสันหลังถ้าใช้โครงสร้างเป็นเกณฑ์ก็แบ่งออกเป็น 2 ระบบ
คือ
1) ระบบประสาทส่วนกลาง ( Central Nervous System) ได้แก่
สมองและไขสันหลัง
2) ระบบประสาทรอบนอก ( Peripheral Nervous System) ได้แก่
เส้นประสาทสมองและเส้นประสาทไขสันหลัง 31 คู่
ระบบประสาททั้ง 2 ระดับนี้ ถ้าพิจารณาตามลักษณะการทำงานแล้วจะแบ่งออกเป็น
2 ระบบ
คือ
(1) ระบบประสาทโซมาติก ( Somatic Nervous System หรือ SNS) เป็นระบบประสาทที่ทำงานภายใต้อำนาจจิตใจ
ได้แก่ การทำงานของสมอง
ไขสันหลัง เส้นประสาทสมอง เส้นประสาทไขสันหลังที่นำคำสั่งไปยังหน่วยปฏิบัติงานที่เป็นกล้ามเนื้อลายหรือกล้ามเนื้อโครงร่าง (Skeleton Muscle) ซึ่งสามารถควบคุมการทำงานได้
ลำดับการทำงานของระบบประสาทในอำนาจจิตใจ เริ่มต้นจากกระแสประสาทที่ส่งผ่านเซลล์ประสาทรับความรู้สึกเข้าไปยังไขสันหลัง และถูกส่งขึ้นไปที่ศูนย์กลางออกคำสั่งที่สมองส่วนเซรีบรัมแล้วส่งกลับผ่านไขสันหลังไปตามเซลล์ประสาทนำคำสั่งซึ่งจะนำกระแสประสาทดังกล่าวไปแสดงผลที่หน่วยปฏิบัติงาน ซึ่งถ้าแยกองค์ประกอบของระบบประสาทเป็นหน่วยต่าง
ๆ ที่ทำงานประสานกันแล้วจะมีลำดับการทำงานดังแผนภาพ
ภาพ 7.4
แผนภาพแสดงการทำงานของระบบประสาท
จากแผนภาพการทำงานของระบบประสาท จะเห็นได้ว่ามีหน่วยที่เกี่ยวข้องกับการทำงานอยู่
5 หน่วย แต่ในบางกรณีกระแสประสาทที่ส่งผ่านเซลล์ประสาทรับความรู้สึกเข้ามายังไขสันหลัง สามารถส่งกระแสประสาทไปกระตุ้นเซลล์ประสาทนำคำสั่งให้เกิดกระแสประสาท แล้วส่งไปยังหน่วยปฏิบัติงานโดยตรงโดยไม่จำเป็นต้องมีหน่วยประสานงานในสมองและไขสันหลังแต่ก็สามารถทำให้เกิดการตอบสนองได้เรียกว่า การตอบสนองแบบรีเฟลกซ์ (Reflex Action) ซึ่งมีไขสันหลังเป็นศูนย์กลางของการตอบสนอง ในการตอบสนองนี้ต้องอาศัยการทำงานแบบเป็นวงจรของระบบประสาทที่เรียกว่า รีเฟลกซ์อาร์ก (Reflex Arc) ซึ่งมีอยู่
2 แบบ
คือ
1. รีเฟลกซ์อาร์กอย่างง่าย (Monosynaptic Reflex Arc) ประกอบด้วยเซลล์ประสาทเพียง
2 เซลล์
คือ เซลล์ประสาทรับความรู้สึกและเซลล์ประสาทนำคำสั่ง ซึ่งมีไซแนปส์ติดต่อกันโดยตรงที่ไขสันหลัง
2. รีเฟลกซ์อาร์กอย่างซับซ้อน (Polysynaptic Reflex Arc) เป็นวงจรของระบบประสาทที่ประกอบขึ้นด้วยเซลล์ประสาท 3 เซลล์
คือ เซลล์ประสาทรับความรู้สึก เซลล์ประสาทประสานงาน และเซลล์ประสาทนำคำสั่ง มีไซแนปส์เกิดขึ้น
2 แห่ง
คือ ระหว่างเซลล์ประสาทรับความรู้สึกกับเซลล์ประสาทประสานงาน และระหว่างเซลล์ประสาทประสานงานกับเซลล์ประสาทนำคำสั่ง
การตอบสนองแบบรีเฟลกซ์ เป็นการตอบสนองของร่างกายต่อสิ่งเร้าจากสิ่งแวดล้อมโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องผ่านส่วนของสมองที่เกี่ยวกับความคิด
เช่น เมื่อมือไปจับวัตถุที่ร้อนจะกระตุกมือหนีจากวัตถุนั้นทันที การเกิดปฏิกิริยารีเฟลกซ์มีประโยชน์ในการควบคุมการทำงานของร่างกาย ช่วยทำให้การทำหน้าที่ของส่วนต่าง
ๆ ของร่างกายมีความสัมพันธ์กันและสามารถทำให้ปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอกร่างกาย หน่วยปฏิบัติงานของปฏิกิริยารีเฟลกซ์อาจเป็นกล้ามเนื้อเรียบก็ได้ หรือต่อมที่อยู่ภายในร่างกายก็ได้
เช่น เมื่อมีอาหารประเภทโปรตีนตกถึงกระเพาะอาหารจะมีผลกระตุ้นแบบรีเฟลกซ์ให้มีการหลั่งน้ำย่อยออกมาจากผนังกระเพาะอาหาร การกระพริบตา
การไอ การจาม การดูดนมของทารกมีผลกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนออกซิโทซิน (Oxytocin) ในแม่ซึ่งจะมีผลกระตุ้นให้มีการหลั่งน้ำนมที
(2) ระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic Nervous System หรือ
ANS) เป็นระบบประสาทที่ทำงานอยู่ภายนอกอำนาจจิตใจ ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะภายใน ( Visceral Nervous System) ที่อยู่นอกอำนาจจิตใจ ( Involuntary) เช่น
กระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อเรียบ (Smooth Muscle) กล้ามเนื้อหัวใจ ( Cardiac Muscle) และเนื้อเยื่อที่ประกอบกันเป็นต่อม ( Grandula Tissue) ในร่างกาย เป็นระบบประสาทที่มีศูนย์ควบคุมอยู่ที่สมองเมดัลลา
ออบลองกาตา และไขสันหลังส่วนกระเบนเหน็บ
การทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ แบ่งย่อยออกเป็น 2 ระบบ
คือ
1. ระบบซิมพาเทติก ( Sympathetic Nervous
System) ประกอบด้วยเส้นประสาทที่มีศูนย์ควบคุมอยู่ที่ไขสันหลัง
ส่วนคอ อก
เอว และส่วนที่อยู่เหนือกระเบนเหน็บขึ้นมา ( Thoraco-lumber Sympathetic) มีแขนงประสาทก่อนถึงปมประสาท ( Preganglionic Fiber) เป็นเส้นสั้น
ๆ ที่ปลายแอกซอนของเซลล์ประสาทนี้จะหลั่งสารเคมีซึ่งเป็นสารสื่อประสาทพวกแอซีทิลโคลีน (Acetycholine) ส่วนแขนงของเซลล์ประสาทหลังปม ( Postganglionic Fiber) เป็นเส้นยาว และที่ปลายแอกซอนจะหลั่งสารสื่อประสาทพวกอะดรีนาลีน ( Adrenaline) แต่อาจมีบางแขนงที่สามารถหลั่งแอซีทิลโคลีนได้
2. ระบบพาราซิมพาเทติก (Parasympathetic Nervous
System) ประกอบด้วยเส้นประสาทสมองคู่ที่
3, 7, 9 และ 10 ที่แตกออกมาจากสมองส่วนกลาง
ส่วนเมดัลลา ออบลองกาตา และเส้นประสาทที่มาจากกระดูกสันหลังส่วนกระเบนเหน็บ เส้นประสาทในระบบนี้มีแขนงของเส้นประสาทก่อนถึงปมประสาทเป็นเส้นยาว ที่ปลายเซลล์จะหลั่งสารสื่อประสาทพวกแอซีทิลโคลีน
ส่วนแขนงประสาทหลังปมเป็นเส้นสั้น ๆ และที่ปลายเซลล์จะหลั่งสารสื่อประสาทพวกแอซีทิลโคลีนเช่นกัน
อวัยวะ
ระบบพาเทติก
ระบบพาราซิมพาเทติก
กล้ามเนื้อม้านตาตามแนวรัศมีหดตัวทำให้ม้านตาเปิดกว้าง
กล้ามเนื้อม้านตาตามแนวรอบวงหดตัวทำให้ม้านตาแคบลง
กระตุ้นให้หลั่งน้ำตาออกมากมากกว่าปรกติ
ควบคุมให้การหลั่งน้ำตาตามปรกติ
เต้นแรงและเร็วขึ้นทำให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจขยายตัว
กระตุ้นการสร้างเมือกทำให้น้ำลายเหนียวและลดการหลั่งน้ำลาย
ลดการสร้างเมือกทำให้น้ำลายใสและเพิ่มการหลั่งน้ำลาย
ห้ามการเคลื่อนไหวแบบเพอ
ริสทัลซิส ( Peristasis) ยับยั้งการหลั่งน้ำลาย
กระตุ้นการเคลื่อนไหวแบบเพอริสทัลซิส
กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีนและนอร์อะดรีนาลีน
-
กระตุ้นการขยายตัวของไกลโคเจนยับยั้งการหลั่งน้ำดี
ยับยั้งการหลั่งน้ำย่อยและฮอร์โมนจากตับอ่อน
กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินและน้ำย่อย
กระตุ้นให้มีการบีบตัว นำเลือดเข้าสู่ระบบหมุนเวียนเลือดได้มากขึ้น
-
ทำให้กระเพาะปัสสาวะคลายตัว
ห้ามไม่ให้ปัสสาวะ
กระตุ้นให้กระเพาะปัสสาวะบีบตัวและขับปัสสาวะ
กระตุ้นให้กล้ามเนื้อปอดขยายออกทำให้หายใจได้คล่องขึ้น
กระตุ้นให้กล้ามเนื้อปอดบีบตัว
-
-
ตาราง แสดงการเปรียบเทียบโครงสร้างและหน้าที่ของระบบประสาทในอำนาจจิตใจและระบบประสาทอัตโนมัติ (นอกอำนาจจิตใจ)
โครงสร้างและหน้าที่
ระบบประสาทในอำนาจจิตใจ
ระบบประสาทอัตโนมัต
1. รูปร่าง
1) หน่วยปฏิบัติงาน
กล้ามเนื้อลาย
กล้ามเนื้อเรียบ กล้ามเนื้อหัวใจและ ต่อมต่าง ๆ
2) ปมประสามนอกระบบประสาท
ไม่มี
มี
3) จำนวนเซลล์ประสาท
หนึ่งเซลล์
สองเซลล์
4) ใยประสาท
มีเยื่อไมอีลีนหุ้ม
ใยประสาทก่อนไซแนปส์ ( Peganglionic) มีเยื่อไมอีลินหุ้มแต่ใยประสาทหลังไซแนปส์
( Poastganglionic) เป็นชนิดไม่มีเยื่อไมอีลินหุ้ม
5) ขนาดและความเร็วในการนำกระแสประสาท
เซลล์ประสาทมีขนาดใหญ่และสามารถนำกระแสประสาทได้เร็ว
เซลล์ประสาทมีขนาดเล็กและนำกระแสประสาทได้ช้า
2. หน้าที่
1) การออกฤทธิ์ต่อหน่วยปฏิบัติงาน
กระตุ้น
อาจกระตุ้นหรือยับยั้งการทำงานก็ได้
2) ผลต่ออวัยวะที่ไปหล่อเลี้ยงถ้าตัดประสารออก
อัมพาตและฝ่อไป
ยังสามารถทำงานได้
3) บทบาทการทำงาน
ในอำนาจจิตใจเพื่อปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมนอกร่างกาย
นอกอำนาจจิตใจ ปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมนอกร่างกาย
4) สารสื่อประสาท
แอซีทิลโคลีน
แอซีทิลโคลินและอะดรีนาลีน
ที่มา http://school.obec.go.th/padad/scien32101/BODY/7BODY.html